ประวัติของไลก้า ของ ไลก้า (กล้องถ่ายภาพ)

เนื้อหาส่วนนี้เข้าข่ายว่าอาจละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งอาจคัดลอกมาจากแหล่งข้อมูลอื่น โปรดช่วยกันตรวจสอบลิขสิทธิ์
หากคุณเป็นผู้เขียนต้นฉบับเดิมและต้องการเผยแพร่ในวิกิพีเดีย ให้เขียนคำอธิบายในหน้าอภิปรายแล้วนำป้ายนี้ออกได้
กรุณาศึกษาวิธีเขียนไม่ให้ละเมิดลิขสิทธิ์ หากคุณทราบว่าเนื้อหาส่วนนี้ละเมิดลิขสิทธิ์ ให้ลบเนื้อหาดังกล่าวออก

ในช่วงแรกของงานศิลปะ นักถ่ายภาพส่วนมากนั้นกังวลในเรื่องของการเคลื่อนย้ายกล้องของพวกเขาจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง การลองของพวกเขาและการจำลองที่ยากลำบากของ Oscar Barneck ในการค้นหาวิธีการใหม่ๆที่สมบูรณ์แบบของการถ่ายภาพจนกระทั่งในปี 1905 เขาได้มีความคิดในเรื่องของการลดขั้นตอนในการตกแต่งฟิล์มและการขยายภาพหลังจากที่ได้ทำการ exposed ภาพ สิบปีหลังจากนั้น ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาของ Leica สามารถที่จะนำทฤษฎีของเขานำไปใช้งานได้จริง เขาได้นำเอาอุปกรณ์สำหรับการวัดแสงสำหรับฟิล์มถ่ายภาพยนตร์ และได้นำมาใช้เป็นครั้งแรกในโลกกับกล้องถ่ายภาพขนาด 35 มิลลิเมตร ในเครื่องรุ่น ur leica ในเวลานั้นฟิล์มถ่ายภาพขนาดเล็กขนาด 24x36 มิลลิเมตร ได้เกิดขึ้นโดยการนำเอาฟิล์มถ่ายภาพยนตร์มาอัดสองชั้น รูปถ่ายที่ได้ออกมามีคุณภาพที่ดีในขณะนั้น ในปี 1914 ความต่อเนื่องในการพัฒนานั้นชะงักลงเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งทำให้กล้อง Leica ตัวแรกนั้นไม่ได้ผลิตออกมาจนกระทั่งในปี 1924 ได้มีการนำเสนอสู่สาธารณชนเมื่อปี 1925 นับถอยหลังไปจากการคิดค้นและพลังความคิดในการสร้างสรรค์ นั้นได้เดินทางกลับไปสู่ความคิดของ Barneck และแนวความคิดของเขา ปัจจุบัน Leica ดำเนินการในการสร้างสรรค์เครื่องมีอที่จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆของความคิดที่นำไปสู่ยุคใหม่

  • ปี 1849 Kellner ตั้งสถาบัน Optical ใน Wetzlar เยอรมัน เพื่อทำกล้องโทรทัศน์
  • ปี 1855 การผลิตกล้องโทรทัศน์ได้สิ้นสุดลงเนื่องจากการประสปความสำเร็จอย่างมากของกล้องจุลทรรศน์ที่ได้ที่มีการคิดค้นมาก่อนหน้านั้นหลายปี
  • ปี 1855 Karl Kellner เสียชีวิตและหุ้นส่วนของเขา Friedrich christian Belthle ได้ซื้อกิจการทั้งหมดและ แต่งงานกับภรรยาของ Karl และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Optical Institute of Kellner and Belthle
  • ปี 1865 Kellner ได้รับวิศวกรรุ่นใหม่ เอิร์นส์ ไลตซ์ (Ernst Leitz), ต่อมาเอิร์นส์ ไลตซ์กลายเป็นหุ้นส่วนกับ Kellner
  • ปี 1869 Belthle เสียชีวิตและเอิร์นส์ซื้อกิจการทั้งหมดของบริษัทและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Optical Institute of Ernst
  • ปี 1887 Carl Metz นักคณิตศาสตร์ ได้เข้ามาร่วมงานกับเอิร์นส์ในการผลิตเลนส์
  • ปี 1889 กล้องจุลทรรศน์ 54000 เครื่องได้ผลิตขึ้น ในช่วงเวลาปี 1889 ถึงปี 1991 ได้เพิ่มผลิตภัณใหม่ๆ รวมถึง Still&cine projector, กล้องสองตา และอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับสายตาชนิดพิเศษหลายอย่าง
  • ปี 1903 Henri เหลนของเอิร์นส์ได้เข้าร่วมในบริษัทและกลายเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย
  • ปี 1911 Oscar ได้ย้ายไปทำงานที่ โรงงานไลตซ์ด้วยแนวความคิดในการผลิตกล้องถ่ายภาพแบบพกพาสะดวก กล้องขนาด 35 มิลลิเมตรจึงเกิดขึ้น
  • ปี 1912 Prof.Max ได้ร่วมงานกับบริษัทไลตซ์และหลังจากนั้นได้คำนวณและคิดค้นเลนส์ตัวแรกของไลก้า
  • ปี 1913 Oscar Barneck ได้คิดค้นเครื่องต้นแบบของกล้องรุ่น UR-Lica
  • ปี 1920 เอิร์นส์เสียชีวิตและเอิร์นส์ ไลตซ์ที่สองเป็นเจ้าของคนเดียวในบริษัท
  • ปี 1923 มีการผลิตกล้องด้วยมือโดยเลียนแบบเครื่องต้นแบบขนาด 35 มิลลิเมตรซึ่งกล้องที่ผลิตขึ้นมีชื่อรุ่นว่า Leica Nullserie จำนวน 31 เครื่อง
  • ปี 1924 เอิร์นส์ ไลตซ์ที่สองตัดสินใจที่จะผลิตกล้องขนาด 35 มิลลิเมตร ซึ่ง Oscar Barneck เป็นผู้ประดิษฐ์ ชื่อไลก้ามาจาก (ไล)ตซ์ และ(คา)เมาร่า ชื่อทางการค้าไลก้าจึงเกิดเอิร์นส์ ไลตซ์ที่สามจึงได้ร่วมบริษัทกัน
  • ปี 1925 กล้องของไลก้าได้วางตลาดเป็นครั้งแรก ไลก้า 1, Lixus และ Compure Model ได้ผลิตขึ้นและวางตลาดจนถึงปี 1932 ปริมาณการผลิตทั้งหมดประมาณ 60586 เครื่อง ลุดวิก ไลตซ์ได้เข้าร่วมบริษัท ลุดวิกได้ลงทุนกับ ergonomic ของ m3
  • ปี 1930 Leica ได้นำเสนอกล้องถ่ายภาพขนาด 35 มิลลิเมตร ที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้หลายแบบ และหลายบริษัทได้ทำการรวมกิจการและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น เอิร์นส์ ไลตซ์ G.m.b.h
  • ปี 1932 Leica ได้รวมเอาคุณสมบัติ rangefinder อยู่ในตัวกล้องไลก้า Model III
  • ปี 1933 ได้รวมเอาการออกแบบ shutter ความเร็วต่ำที่ได้นำเสนอในไลก้า III
  • ปี 1935 Leica ได้รวมเอา Shutter ความเร็วสูงในการออกแบบ Shutter ไว้ในไลก้า IIIa
  • ปี 1949 Leica ได้สร้าง Leica optical Research Laboratory เพื่อใช้ในการตรวจสอบการผลิตแว่นชนิดพิเศษและสูตรในการผลิตเลนส์
  • ปี 1950 Leica ได้รวมเอาระบบ flash และการตั้งเวลาได้ด้วยตัวเองในตัวกล้องขนาด 35 มิลลิเมตร ทำให้เกิดเป็นกล้องรุ่นไลก้า IIIf
  • ปี 1952 กุนเธอร์ ไลตซ์ได้ก่อตั้งโรงงาน Cannadian
  • ปี 1954 ไลก้าได้นำเสนอไลก้า M3 เป้นกล้องตัวแรกที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบของเลนส์
  • ปี 1957 ไลก้าได้นำเสนอกล้องที่มีลูกเล่นกว่ารุ่น M3 ที่รู้จักกันในชื่อรุ่นไลก้า M2
  • ปี 1959 ไลก้าได้นำเสนอกล้องที่ลดลงมาจากกล้องรุ่น M2 สำหรับการใช้ในงานทางด้านวิทยาศาสตร์และทางด้านเทคนิค
  • ปี 1960 ได้ผลิตกล้องไลก้า screwmouth body เป็นรุ่นล่าสุด ชื่อรุ่นไลก้า IIIg, ปริมาณรวมของรุ่นนี้ที่ผลิตขึ้นมาประมาณ 798,200 เครื่อง
  • ปี 1964 ไลก้าได้นำเสนอกล้อง Single Lens Reflex ตัวแรก, ชื่อรุ่น ไลก้าflex, การผลิตกล้องรุ่น ไลก้าflex จึงเกิดขึ้น
  • ปี 1967 ได้นำเสนอรุ่น M4 โดยเติมคุณสมบัติ rangefinder flamline สำหรับเลนส์ขนาด 35 และ 135 มิลลิเมตร
  • ปี 1968 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น ไลก้าflex SL พร้อมกับ อุปกรณ์วัดแสง TTL
  • ปี 1971 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น M5 พร้อมกับได้เพิ่มชุดรวมอุปกรณ์วัดแสง TTL เป็นไลก้าตัวแรกที่มีอุปกรณ์วัดแสง
  • ปี 1973 ไลก้าได้ร่วมมือกับ Minolta ในการนำเสนอเครื่องที่ทันสมัย, ขนาดเล็กและกล้องที่มีความสามารถในส่วนของ rangefinder ในกล้องรุ่นไลก้า CL, Monolta CL, ไลตซ์-Minolta CL และหลังจากนั้นกล้องรุ่น Minolta CL จึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเกี่ยวข้องกันของไลตซ์ กับ Minolta และได้จัดตั้งไลตซ์โปรตุเกส ขึ้น
  • ปี 1974 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น Leica flex SL2. Wild Heerburg ได้ชื้อกิจการหลักที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท
  • ปี 1976 ไลก้าผลิตกล้องรุ่นไลก้า R3 และ กล้องไลก้า ‘R’ series จึงได้เกิดขึ้น Minolta จะเป็นผู้สร้างกล้องรุ่น R3, R4 และ R5 พร้อมกับสลับกับการผลิตไปที่ไลก้า สำหรับการสร้างอย่างต่อเนื่องของกล้องรุ่น R6, R6.2, R7 และ R8 รุ่น R6.2 ( ระบบกลไก) และรุ่น R8 (ระบบอิเล็คโทรนิคส์) ก็ยังมีการผลิตอยู่ในปัจจุบัน
  • ปี 1977 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น M4-2 และ M4 พร้อมระบบที่มีความแข็งแรงที่ใช้สำหรับการต่อพ่วงกับชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน รุ่น M4-2 มีลูกเล่นสำหรับแฟลชอิเล็คโทรนิคส์ของเครื่องรุ่น M ทุกรุ่น, ตามรอยเท้าของกล้องรุ่นCL
  • ปี 1980 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น M4-P โดยเพิ่มเติมในส่วน rangefinder framline สำหรับเลนส์ขนาด 28 มิลลิเมตร และ 75 มิลลิเมตร
  • ปี 1984 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่นที่มีความนิยมเป็นอย่างมากคือกล้องรุ่นไลก้า M6 รวมคุณสมบัติพิเศษใหม่ๆของรุ่น M ในยุคแรก รวมถึงส่วนที่ได้มีการปรับปรุงใหม่และชุดวัดแสงที่มีความทนทาน เครื่องรุ่น M6 ผลิตโดยมีส่วนของโครเมียม, ดำ และพื้นผิวที่มันวาวมากของไททาเนียม
  • ปี 1986 สมาชิกคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลไลตซ์ได้เกษียณจากสมาชิกของผู้บริหารบริษัท
  • ปี 1988 บริษัทได้แตกแขนงออกเป็นบริษัทเล็กๆหลายบริษัทและไลก้า คาเมร่า G.m.b.h จึงได้เกิดขึ้น
  • ปี 1991 โรงงาน Canadian ได้ถูกขายให้กับบริษัทสายการบินขนาดใหญ่ และกลุ่มไลก้าคาเมร่าจึงเป็นอิสระ การผลิตได้ทำการย้ายไปที่โรงงานใหม่ใน Solms ห่างจาก Wetzlar เพียง 5 ไมล์
  • ปี 1997 ไลก้าได้นำเสนอเครื่องรุ่น M6 กับค้นหาภาพขยาย .85 สำหรับความง่ายในการโฟกัสภาพกับเลนซ์ที่ยาวและมีความเที่ยงตรงมากในการโฟกัสภาพด้วยเลนซ์ที่มีความเร็วอย่างไรก็ตาม Rangefingder frameline ขนาด 28 มิลลิเมตรนั้นลดลง
  • ปี 1998 ไลก้าได้นำเสนอเครื่องรุ่น M6 TTL ทั้งในรุ่นที่มีอัตราขยายของช่องมองภาพ (Viewfinder Magnification) .72 และ .85 เครื่องของไลก้า M6 TTL ยังคงมีการผลิตอยู่
  • ปี 2000 ไลก้าได้นำเสนอเครื่องรุ่นใหม่ M6 .58 กล้องค้นหาภาพสำหรับผู้ใช้ที่สวมแว่นตา และนำเสนอเลนส์ขนาด 28 มิลิเมตร Summicron
บทความเกี่ยวกับเทคโนโลยี หรือ สิ่งประดิษฐ์นี้ยังเป็นโครง คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียได้โดยเพิ่มข้อมูล